พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 7 หน้าที่ 397

@vinayo

พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 7 หน้าที่ 397

{๖๓๕} สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ถูกราคะและโทสะปกคลุม

ถูกอวิชชาหุ้มห่อยินดีรูปที่น่ารัก ดื่มสุราและเมรัย

เสพเมถุน โง่เขลา ยินดีเงินและทอง

สมณพราหมณ์พวกหนึ่งดำเนินชีวิตด้วยมิจฉาชีพ

พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธ์พระอาทิตย์

ตรัสอุปกิเลสที่ทำให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมัวหมอง ไม่สง่า

ไม่ผ่องใส เป็นที่รู้กัน ไม่บริสุทธิ์ มีธุลี ถูกความมืดปกคลุม

เป็นทาสแห่งตัณหา ถูกตัณหาชักนำให้อัตภาพหยาบ

เจริญเติบโต ย่อมยินดีการเกิดใหม่

{๖๓๖} อาตมามีวาทะอย่างนี้ กล่าวอธรรมว่าเป็นอธรรม กล่าวธรรมว่าเป็นธรรม กล่าวสิ่งมิใช่วินัยว่าเป็นสิ่งมิใช่วินัย กล่าววินัยว่าเป็นวินัย แต่กลับถูกกล่าวหาว่า ด่า บริภาษอุบาสกอุบาสิกาผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ทำให้เขาหมดศรัทธา

เรื่องผู้ใหญ่บ้านชื่อมณีจูฬกะ


{๖๓๗} [๔๔๘] (ท่านพระยสกากัณฑกบุตรกล่าวต่อไปว่า) ท่านทั้งหลาย สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกระแต เขตกรุงราชคฤห์

ครั้งนั้น พวกข้าราชบริพารนั่งประชุมกันในราชบริษัท ภายในพระราชวังได้ สนทนากันดังนี้ว่า “ทองและเงินย่อมสมควรแก่พวกพระสมณะเชื้อสายศากยบุตร หรือพวกพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรยินดีทองและเงินได้หรือ พวกพระสมณะเชื้อ สายศากยบุตรรับทองและเงินได้หรือ”

ท่านทั้งหลาย สมัยนั้น ผู้ใหญ่บ้านชื่อมณีจูฬกะนั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วย ลำดับนั้น ผู้ใหญ่บ้านชื่อมณีจูฬกะได้กล่าวกับบริษัทนั้นดังนี้ว่า “นายท่านทั้งหลาย พวกท่าน อย่าได้กล่าวอย่างนี้ ทองและเงินไม่สมควรแก่พวกพระสมณะเชื้อสายศากยบุตร พวก

๑ องฺ.จตุกฺก. (แปล) ๒๑/๕๐/๘๑-๘๓