พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 7 หน้าที่ 390
ท่านพระฉันนะถามว่า “ท่านอานนท์ เพราะเหตุที่ภิกษุทั้งหลายไม่ว่ากล่าว ไม่ ตักเตือน ไม่พร่ำสอนผม เพียงแค่นี้ผมชื่อว่าถูกกำจัดแล้ว” แล้วสลบล้มลงที่นั้นเอง
พระฉันนะบรรลุอรหัตตผล
ต่อมา ท่านพระฉันนะอึดอัด เบื่อระอา รังเกียจด้วยพรหมทัณฑ์ จึงหลีกเร้น อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายใจ ไม่นานนัก ก็ทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ ยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ที่เหล่ากุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต โดยชอบต้องการ ด้วยปัญญายิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบันแน่แท้ รู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีก ต่อไป”
จึงเป็นอันว่าท่านพระฉันนะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ ทั้งหลาย
ครั้งนั้น ท่านฉันนะได้บรรลุอรหัตตผลแล้วจึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่พัก ครั้นแล้วได้กล่าวกับท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า “ท่านอานนท์ เวลานี้ ท่านโปรด ระงับพรหมทัณฑ์แก่ผมเถิด”
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า “ท่านฉันนะ เมื่อท่านบรรลุอรหัตตผลแล้ว พรหม ทัณฑ์ของท่านก็เป็นอันระงับไป”
{๖๒๘} ก็ในการสังคายนาพระ(ธรรม)วินัยครั้งนี้ มีภิกษุ ๕๐๐ รูป ไม่หย่อนไม่ยิ่ง ดังนั้น การสังคายนาพระ(ธรรม)วินัยครั้งนี้ จึงเรียกว่า “ปัญจสติกา”
ปัญจสติกขันธกะที่ ๑๑ จบ
ในขันธกะนี้มี ๒๓ เรื่อง
รวมเรื่องที่มีในปัญจสติกขันธกะ
{๖๒๙} เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพาน ท่านพระมหากัสสปะ ผู้รักษาพระสัทธรรม ชี้แจงต่อหมู่สงฆ์ถึงถ้อยคำที่พระสุภัททะ