พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 6 หน้าที่ 321

@vinayo

พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 6
<< | หน้าที่ 321 | >>

วิธีลงตัสสปาปิยสิกากรรมและกรรมวาจา


ภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงลงตัสสปาปิยสิกากรรมอย่างนี้ คือเบื้องต้นพึงโจทภิกษุ อุปวาฬะก่อน ครั้นแล้วพึงให้ภิกษุอุปวาฬะนั้นให้การแล้วพึงปรับอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด สามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาว่า

[๒๐๖] “ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุอุปวาฬะนี้ถูกซักถามอาบัติ ในท่ามกลางสงฆ์ ปฏิเสธแล้วรับ รับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องหนึ่งมากล่าวกลบเกลื่อน อีกเรื่องหนึ่ง กล่าวเท็จทั้งที่รู้ ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้วพึงลงตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุ อุปวาฬะ นี่เป็นญัตติ

ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุอุปวาฬะนี้ถูกซักถามอาบัติในท่ามกลาง สงฆ์ ปฏิเสธแล้วรับ รับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องหนึ่งมากล่าวกลบเกลื่อนอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวเท็จทั้งที่รู้ สงฆ์ลงตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุอุปวาฬะแล้ว ท่านรูปใดเห็น ด้วยกับการลงตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุอุปวาฬะ ท่านรูปนั้นพึงนิ่ง ท่านรูปใด ไม่เห็นด้วย ท่านรูปนั้นพึงทักท้วง

แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ว่า ฯลฯ

แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ว่า ฯลฯ

ตัสสปาปิยสิกากรรม สงฆ์ลงแล้วแก่ภิกษุอุปวาฬะ สงฆ์เห็นด้วย เพราะฉะนั้น จึงนิ่ง ข้าพเจ้าขอถือความนิ่งนั้นเป็นมติอย่างนี้

ตัสสปาปิยสิกากรรมที่ชอบธรรม ๕ อย่าง


{๖๑๕} [๒๐๗] ภิกษุทั้งหลาย การลงตัสสปาปิยสิกากรรมชอบธรรม ๕ อย่างนี้ คือ

๑. ภิกษุเป็นผู้ไม่สะอาด ๒. เป็นอลัชชี

๓. เป็นผู้ถูกโจท ๔. สงฆ์ลงตัสสปาปิยสิกากรรมแก่ภิกษุนั้น

๕. สงฆ์พร้อมเพรียงกันลงโดยธรรม

ภิกษุทั้งหลาย การลงตัสสปาปิยสิกากรรมชอบธรรม ๕ อย่างนี้แล