พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 4 หน้าที่ 375

@vinayo

พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 4 หน้าที่ 375

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณาหนเดียว”

ชาวป่าได้มาพลุกพล่านมากยิ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณาหนเดียว จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณามีพรรษา เท่ากัน”

เรื่องปวารณาเมื่อราตรีจวนสว่าง


สมัยนั้น ณ อาวาสแห่งหนึ่ง ในวันปวารณานั้น ชาวบ้านมัวให้ทานจน ราตรีจวนสว่าง ครั้นแล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้ปรึกษากันดังนี้ว่า “ชาวบ้านมัวให้ทาน จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หนไซร้ สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อ เป็นเช่นนี้ ราตรีก็จักสว่าง พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ” จึงนำเรื่องนี้ไป กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ

พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก็ในกรณีนี้ ในอาวาสแห่งหนึ่ง ในวันปวารณานั้น ชาวบ้านให้ทานจนราตรีจวนสว่าง ถ้าภิกษุทั้งหลายในอาวาส นั้นได้ปรึกษากันดังนี้ว่า ”ชาวบ้านมัวให้ทานจนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หนไซร้ สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ราตรีก็จักสว่าง”

ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่า

ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ชาวบ้านให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หนไซร้ สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ราตรีก็จักสว่าง ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน ปวารณาหนเดียว ปวารณามี พรรษาเท่ากัน

ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ในอาวาสแห่งหนึ่ง ในวันปวารณานั้น ภิกษุ ทั้งหลายกล่าวธรรมกัน ฯลฯ

... ภิกษุผู้ชำนาญพระสูตรก็สาธยายพระสูตรกัน...

... พระวินัยธรก็วินิจฉัยพระวินัยกัน...

๑ หมายถึง ให้ภิกษุที่มีพรรษาเท่ากัน ปวารณาพร้อมกัน (วิ.อ. ๓/๒๓๔/๑๕๘)